Outsource คือ อะไร? เจาะลึกความหมาย ข้อดีและข้อเสีย ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

Estimated reading time: 2 minutes

Outsource คืออะไร? เจาะลึกความหมาย ข้อดี-ข้อเสีย ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

ในโลกธุรกิจที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การแข่งขันสูง และความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เจ้าของธุรกิจและผู้บริหารต่างมองหาวิธีที่จะทำให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และก้าวทันคู่แข่ง หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมและถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ “Outsource”

แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าจริงๆ แล้ว Outsource คือ อะไรกันแน่? เป็นแค่การจ้างคนนอกมาทำงานแทนชั่วคราว หรือมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของการ Outsource ตั้งแต่ความหมายที่แท้จริง ข้อดีที่น่าสนใจ ข้อเสียที่ต้องระวัง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่า กลยุทธ์นี้เหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่

Outsource คืออะไร? เข้าใจความหมายที่แท้จริง

Outsource คือ กลยุทธ์ทางธุรกิจในการว่าจ้างบุคคลหรือบริษัทภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ให้เข้ามาทำหน้าที่รับผิดชอบกระบวนการทำงานบางส่วนขององค์กรที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยมีข้อตกลงและขอบเขตของงานที่ชัดเจน

ถ้าพูดให้เข้าใจอย่างง่ายก็คือแทนที่คุณจะจ้างพนักงานประจำเพื่อมาทำงานทุกอย่างในบริษัท คุณเลือกที่จะแบ่งงานบางส่วน เช่น งานบัญชี, งานการตลาดออนไลน์, งานดูแลระบบไอที, หรืองานแม่บ้าน ไปให้บริษัทอื่นที่เก่งเรื่องนั้นโดยเฉพาะเป็นผู้ดูแลแทน

ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน: บริษัทของคุณทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก แต่แทนที่คุณจะจ้างนักบัญชี, นักการตลาด, และโปรแกรมเมอร์มาเป็นพนักงานประจำทั้งหมด คุณสามารถเลือกที่จะ

  • Outsource งานบัญชี: จ้างสำนักงานบัญชีภายนอกเข้ามาดูแลการทำบัญชีและภาษีรายเดือน/รายปี
  • Outsource งานการตลาด: จ้างเอเจนซี่การตลาดดิจิทัลมาดูแลการยิงแอดโฆษณาและทำ SEO
  • Outsource งานไอที: จ้างบริษัทไอทีมาดูแลระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของบริษัท

เจาะลึก 5 ข้อดีของการ Outsource ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ

การเลือกใช้บริการ Outsource ที่ถูกต้อง สามารถสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับองค์กรได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือข้อดีหลักๆ ที่ทำให้ธุรกิจจำนวนมากหันมาใช้กลยุทธ์นี้

1. ลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ (Cost Reduction)
นี่คือเหตุผลยอดฮิตที่สุดของการทำ Outsource เพราะคุณสามารถลดค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Cost) ในการจ้างพนักงานประจำไปได้มาก ไม่ว่าจะเป็น เงินเดือน, ประกันสังคม, โบนัส, สวัสดิการต่างๆ รวมถึงต้นทุนแฝง เช่น ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าฝึกอบรม และค่าพื้นที่ออฟฟิศ การจ่ายเงินให้บริษัท Outsource ตามโปรเจกต์หรือสัญญาจ้าง มักจะมีต้นทุนโดยรวมที่ต่ำกว่า

2. เข้าถึงทีมงานผู้เชี่ยวชาญ (Access to Expertise)
บริษัทที่รับทำ Outsource มักจะมีทีมงานที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์สูงในด้านนั้นๆ โดยเฉพาะ ทำให้คุณได้ผลงานที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพเทียบเท่ากับบริษัทใหญ่ๆ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนจ้างผู้เชี่ยวชาญราคาแพงมาเป็นพนักงานประจำ

3. โฟกัสกับธุรกิจหลักได้เต็มที่ (Focus on Core Business)
เมื่อคุณมอบหมายงานที่ไม่ใช่หัวใจหลักของธุรกิจให้มืออาชีพดูแล คุณและทีมงานหลักก็จะมีเวลาและสมาธิไปทุ่มเทให้กับการพัฒนาสินค้า บริการ และนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างรายได้และขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทได้อย่างแท้จริง

4. เพิ่มความยืดหยุ่นและคล่องตัว (Increased Flexibility)
ธุรกิจมีความต้องการที่ไม่แน่นอน บางช่วงอาจต้องการคนทำงานเยอะ บางช่วงอาจต้องการคนน้อย การ Outsource ช่วยให้คุณปรับขนาดทีมงานได้ตามความต้องการอย่างรวดเร็ว เช่น ในช่วงที่ต้องการทำแคมเปญการตลาดใหญ่ ก็สามารถจ้างเอเจนซี่เพิ่มได้ และเมื่อแคมเปญจบก็สามารถลดขนาดลงได้ทันที ไม่เหมือนการจ้างพนักงานประจำที่มีภาระผูกพันระยะยาว

5. ลดภาระงานด้านการบริหารจัดการ (Reduced Managerial Burden)
การ Outsource ช่วยลดภาระของผู้บริหารในการบริหารจัดการคน การสรรหาพนักงาน การฝึกอบรม และการดูแลสารทุกข์สุกดิบของพนักงานในแผนกที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ทำให้ผู้บริหารสามารถนำเวลาไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ในภาพรวมได้ดียิ่งขึ้น

เหรียญมีสองด้าน! ข้อเสียและความท้าทายของการ Outsource

แม้ว่าข้อดีของการ Outsource จะน่าดึงดูดใจ แต่ก็มีความท้าทายและข้อเสียที่เจ้าของธุรกิจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเช่นกัน

  • การควบคุมที่น้อยลง (Less Control): คุณไม่สามารถควบคุมการทำงานของทีม Outsource ได้ใกล้ชิดเท่ากับพนักงานในองค์กร ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพและทิศทางของงานหากไม่มีการสื่อสารและวางระบบที่ดีพอ
  • ปัญหาการสื่อสาร (Communication Issues): การทำงานกับคนนอกองค์กร อาจมีความล่าช้าในการสื่อสาร หรือเกิดความเข้าใจผิดจากวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะหากเป็นการจ้างงานข้ามประเทศ (Offshoring)
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล (Security Risks): การให้บริษัทภายนอกเข้าถึงข้อมูลสำคัญของบริษัท เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการเงิน มีความเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหลได้ ดังนั้น การทำสัญญาเก็บรักษาความลับ (NDA) ที่รัดกุมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
  • อาจมีค่าใช้จ่ายแฝง (Hidden Costs): หากสัญญาที่ทำไม่ครอบคลุม อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมงอกขึ้นมาในภายหลัง (เช่น ค่าแก้ไขงานเกินจำนวนครั้งที่กำหนด) ดังนั้นควรอ่านและทำความเข้าใจรายละเอียดในสัญญาให้ดีที่สุด
  • ความเข้ากันไม่ได้กับวัฒนธรรมองค์กร: ทีมงานภายนอกอาจไม่ได้เข้าใจในวิสัยทัศน์หรือวัฒนธรรมองค์กรของคุณอย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจส่งผลต่องานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และภาพลักษณ์ของแบรนด์

สรุปบทความ

คำตอบของคำถามที่ว่า Outsource คือ กลยุทธ์ที่ใช่สำหรับคุณหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ขนาด และประเภทของธุรกิจของคุณโดย Outsource เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ:

  • ธุรกิจสตาร์ทอัป (Startup): ที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการทีมงานเฉพาะทางเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว
  • ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs): ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุน โดยไม่ต้องแบกรับภาระการจ้างพนักงานประจำจำนวนมาก
  • บริษัทขนาดใหญ่: ที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญสำหรับโปรเจกต์พิเศษ หรือต้องการลดภาระงานในแผนกที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก
  • ธุรกิจที่มีงานล้นมือเป็นช่วงๆ: เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการทีมแอดมินตอบแชทเพิ่มช่วงเทศกาล

ท้ายที่สุดนี้ การ Outsource เป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่ทรงพลัง หากใช้อย่างถูกต้องและชาญฉลาด มันสามารถช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และปลดล็อกศักยภาพการเติบโตให้ธุรกิจของคุณได้อย่างก้าวกระโดด สิ่งสำคัญคือการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสีย และเลือกพันธมิตรหรือบริษัท Outsource ที่ไว้ใจได้และเหมาะสมกับเป้าหมายของคุณมากที่สุด

หากคุณกำลังพิจารณาการ Outsource และต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเรา A.R.E.E. ผู้เชี่ยวชาญด้าน Outsource ที่มีประสบการณ์มามากกว่า 7 ปี เพื่อให้เราช่วยคิดหาโซลูชันที่ใช่และดีที่สุดสำหรับคุณ