
Estimated reading time: 2 minutes
5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือกพาร์ทเนอร์ IT Outsource
ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างในปัจจุบันนี้ ต่างเจอกับความท้าทายในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ IT อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ โปรแกรมที่ใช้งานมีปัญหา หรือประเด็นด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่สร้างความกังวลใจ หากท่านเป็นผู้บริหาร หรือผู้ที่รับผิดชอบดูแลด้านนี้ คงจะตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดี ในบางครั้งทีมงานภายในอาจมีภาระงานมากเกินไป หรือขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในบางเรื่อง ส่งผลให้การดำเนินงานไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีทางออกที่น่าสนใจอย่างมากนั่นก็คือการใช้ IT outsource
การ IT outsource หมายถึง การว่าจ้างบริษัทภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อเข้ามาดูแลและจัดการงานที่เกี่ยวข้องกับงานไอทีให้กับธุรกิจของท่าน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษาระบบ การพัฒนาซอฟต์แวร์ การจัดการเครือข่าย หรือการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี
ถึงแม้จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจใช้บริการด้าน Outsource ควรพิจารณาและทำความเข้าใจในหลายประเด็น เพื่อให้การตัดสินใจนั้นประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
ในบทความนี้เราขอนำเสนอ 5 สิ่งสำคัญที่ท่านต้องทราบก่อนตัดสินใจเลือกพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการ IT ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจของท่านด้วยเทคโนโลยี
Table of Contents
Toggle1. กำหนดเป้าหมายและความต้องการขององค์กรให้ชัดเจน
เปรียบเสมือนการวางแผนการเดินทาง หากไม่ทราบจุดหมายปลายทาง อาจทำให้เกิดความสับสนและไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การพิจารณาเลือกผู้ให้บริการก็เช่นเดียวกัน สิ่งแรกที่ควรดำเนินการคือ การพิจารณาและทำความเข้าใจถึงเป้าหมายและความต้องการด้าน IT ของธุรกิจท่านอย่างละเอียด
ท่านอาจต้องพิจารณาถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้:
- ต้องการ Outsource ในส่วนงานใหนบ้าง เช่น การดูแลระบบ การพัฒนาเว็บไซต์ การตลาดออนไลน์ หรือทั้งหมด
- ปัญหาด้าน IT ที่องค์กรกำลังเผชิญคืออะไร และคาดหวังว่าการดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามาจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร
- งบประมาณที่ตั้งไว้คือเท่าไหร่
- ต้องการให้พาร์ทเนอร์เข้ามาดูแลในระยะยาว หรือเฉพาะโครงการระยะสั้น
- มีข้อกำหนดหรือมาตรฐานด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษหรือไม่
การกำหนดเป้าหมายและความต้องการที่ชัดเจน จะช่วยให้ท่านสามารถสื่อสารกับบริษัทผู้ให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การคัดเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมที่สุด
2. รวบรวมข้อมูลและเปรียบเทียบผู้ให้บริการหลายราย
ไม่ควรตัดสินใจเลือกบริษัท Outsource เพียงเพราะการโฆษณาที่น่าสนใจ หรือการแนะนำจากบุคคลอื่น การศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านมีความสำคัญอย่างยิ่ง ลองพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินการดังนี้:
- การสอบถามจากผู้รู้: สอบถามจากเพื่อนร่วมธุรกิจ หรือผู้ที่ท่านไว้วางใจเกี่ยวกับประสบการณ์ในการใช้บริการด้าน IT กับบริษัทต่างๆ
- การค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต: ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับบริการที่ต้องการ เช่น “ดูแลระบบเครือข่าย”, “พัฒนาแอปพลิเคชัน”, “บริการคลาวด์”
- การอ่านความคิดเห็นและกรณีศึกษา: ตรวจสอบความคิดเห็นจากลูกค้าเดิม หรือกรณีศึกษาของโครงการที่บริษัท Outsource นั้นๆ เคยดำเนินการ เพื่อประเมินรูปแบบการทำงานและผลลัพธ์ที่ได้
- การขอใบเสนอราคาจากหลายบริษัท: ติดต่อบริษัทที่สนใจเพื่อขอใบเสนอราคา และนำมาเปรียบเทียบทั้งในด้านราคาและบริการที่นำเสนอ
นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือของบริษัทเหล่านั้น บริษัทที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรม มีผลงานที่ได้รับการยอมรับ และมีข้อเสนอแนะที่ดีจากลูกค้า มักจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
3. ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและความเข้าใจซึ่งกันและกัน
การทำงานร่วมกับบริษัท Outsource เปรียบเสมือนการมีทีมงานอีกทีมหนึ่งเข้ามาสนับสนุน ดังนั้น การสื่อสารและความเข้าใจจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ลองพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ในการสื่อสารดังนี้:
- ทีมงานของพวกเขาสามารถสื่อสารในภาษาที่ท่านเข้าใจได้ง่ายหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท่านไม่มีความเชี่ยวชาญด้าน IT โดยตรง
- พวกเขามีช่องทางการติดต่อที่สะดวกและหลากหลายหรือไม่ เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือระบบแชท
- พวกเขามีกระบวนการในการรายงานผลการดำเนินงานและการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนหรือไม่
- พวกเขามีความเข้าใจในลักษณะธุรกิจและความต้องการของท่านมากน้อยเพียงใด
บริษัท Outsource ที่มีประสิทธิภาพควรมีความสามารถในการรับฟัง ทำความเข้าใจปัญหา และนำเสนอแนวทางการแก้ไขที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
4. ตรวจสอบสัญญาและข้อตกลงต่างๆ อย่างละเอียด
เมื่อได้พิจารณาเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมแล้วสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การตรวจสอบและทำความเข้าใจในสัญญาและข้อตกลงต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนการลงนามอนุมัติ ควรพิจารณารายละเอียดในสัญญา เช่น:
- ขอบเขตของงานที่พวกเขาจะรับผิดชอบมีอะไรบ้าง
- ระยะเวลาของสัญญาคือเท่าไหร่
- รูปแบบการคิดค่าบริการ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือไม่
- เงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเป็นอย่างไร
- ข้อตกลงเกี่ยวกับการรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอย่างไร
- มีข้อตกลงระดับการให้บริการ (Service Level Agreement – SLA) หรือไม่ เช่น ระยะเวลาในการตอบสนองต่อปัญหา
หากมีข้อสงสัย หรือส่วนใดในสัญญาที่ไม่ชัดเจน ควรสอบถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน การทำความเข้าใจในสัญญาอย่างละเอียดจะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

5. พิจารณาถึงศักยภาพในการเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ
ข้อสุดท้าย ควรพิจารณาเลือกบริษัท Outsource ที่มีวิสัยทัศน์และพร้อมที่จะเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของท่าน พาร์ทเนอร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้:
- มีความรู้และความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของท่าน
- สามารถให้คำแนะนำและปรึกษาในด้านกลยุทธ์ IT ได้
- มีความยืดหยุ่นและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนบริการตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจ
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสามารถทำงานร่วมกับทีมงานภายในของท่านได้อย่างราบรื่น
การเลือกพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพในการเติบโต จะช่วยให้ธุรกิจของท่านสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สรุปบทความ: เตรียมพร้อมสู่ความสำเร็จด้วยพาร์ทเนอร์ IT ที่เหมาะสม
หวังว่า 5 สิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะเป็นประโยชน์แก่ท่านในการพิจารณาเลือกพาร์ทเนอร์ด้าน IT outsource ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของท่าน การตัดสินใจเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมต้องอาศัยเวลาและการพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หากดำเนินการอย่างเหมาะสม การมีทีมไอทีที่มีคุณภาพจะช่วยให้ท่านประหยัดเวลา ลดต้นทุน และมีทรัพยากรในการมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่
หากท่านกำลังมองหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษา และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจของท่านอย่างแท้จริง A.R.E.E. Technology Solutions ด้วยประสบการณ์การทำงานด้านนี้มากกว่า 7 ปี ทีมงานของเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรของท่าน โปรดติดต่อเรา