
Estimated reading time: 3 minutes
Outsourcing แพงไหม? วิธีคำนวณต้นทุนจริงเทียบกับพนักงานประจำ
หนึ่งในคำถามที่อยู่ในใจเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อมากที่สุดเมื่อพิจารณากลยุทธ์การจ้างงานภายนอก คือ “มันคุ้มค่าจริงไหม? จ้าง Outsourcing แพงกว่าการจ้างพนักงานประจำหรือไม่?” เมื่อมองดูใบเสนอราคาหรือค่าบริการรายเดือนจากบริษัทผู้ให้บริการ ตัวเลขที่เห็นอาจดูสูงกว่าเงินเดือนของพนักงานหนึ่งคน จนทำให้หลายคนลังเลและตัดสินใจที่จะสร้างทีมภายในองค์กร (In-house) ต่อไป
แต่โลกธุรกิจในปัจจุบัน ที่การบริหารต้นทุนต้องมองให้ลึกกว่าแค่ตัวเลขที่เห็นตรงหน้า การเปรียบเทียบเพียงเงินเดือนพื้นฐานกับค่าบริการนั้น อาจเป็นการวิเคราะห์ที่ผิวเผินเกินไปและอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ เพราะต้นทุนที่แท้จริงของการมีพนักงานประจำหนึ่งคนนั้น มี “ค่าใช้จ่ายแฝง” ซ่อนอยู่อีกมาก
ในบทความนี้เราจะไม่ได้ให้คำตอบง่ายๆ ว่าอะไรถูกหรือแพงกว่า แต่จะให้ “เครื่องมือและวิธีการคำนวณ” ที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพต้นทุนทั้งหมดอย่างโปร่งใส เพื่อเปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัด และค้นพบคำตอบที่แท้จริงว่าทางเลือกไหนคือการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดสำหรับองค์กรของคุณ
Table of Contents
Toggleต้นทุนแฝงของการจ้างพนักงานประจำ
เงินเดือนพนักงานที่เราจ่ายในแต่ละเดือนนั้นเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่มองเห็นได้ง่าย แต่ใต้น้ำนั้นยังมีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่เป็นต้นทุนรวมที่แท้จริงซ่อนอยู่ การจะเปรียบเทียบให้ยุติธรรม เราต้องนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้มารวมในการคำนวณด้วย
1. ต้นทุนก่อนการจ้างงาน (Recruitment Costs)
- ค่าใช้จ่ายประกาศรับสมัครงาน: ค่าใช้จ่ายในการลงประกาศบนแพลตฟอร์มหางานต่างๆ เช่น Jobthai, Jobdb
- ค่าธรรมเนียมบริษัทจัดหางาน (Headhunter): หากใช้บริการ อาจคิดค่าบริการสูงถึง 15-25% ของเงินเดือนทั้งปีของพนักงาน
- ต้นทุนเวลาของทีม: เวลาที่ฝ่ายบุคคล (HR) และผู้จัดการแผนกต้องใช้ในการคัดกรองเรซูเม่, สัมภาษณ์งานหลายรอบ ซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะถูกใช้ไปกับงานอื่นที่สามารถพัฒนาองค์กร
2. ต้นทุนเมื่อเริ่มงาน (Onboarding & Training Costs)
- การปฐมนิเทศ: เวลาที่ต้องใช้ในการแนะนำพนักงานใหม่ให้รู้จักกับองค์กรและเพื่อนร่วมงาน
- การฝึกอบรม: ค่าใช้จ่ายในการส่งพนักงานไปอบรมหลักสูตรเฉพาะทาง หรือเวลาที่พนักงานอาวุโสต้องสละมาสอนงาน ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานอาวุโสลดลงชั่วคราว
- ช่วงเรียนรู้: ในช่วง 1-3 เดือนแรก พนักงานใหม่อาจยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ 100% แต่บริษัทต้องจ่ายเงินเดือนเต็มจำนวน
3. ต้นทุนทางตรงที่นอกเหนือจากเงินเดือน (Direct Overhead)
- เงินสมทบประกันสังคมและกองทุนทดแทน: ส่วนที่นายจ้างต้องจ่ายสมทบตามกฎหมาย
- สวัสดิการต่างๆ: ค่าประกันสุขภาพกลุ่ม, ประกันชีวิต, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ค่าทำฟัน, โบนัสประจำปี, การปรับขึ้นเงินเดือน
- ภาษีที่เกี่ยวข้อง: ภาษีธุรกิจและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีพนักงานเพิ่ม
4. ต้นทุนทางอ้อมและโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure & Indirect Overhead)
- พื้นที่ทำงาน: ค่าเช่าออฟฟิศที่เพิ่มขึ้น, ค่าโต๊ะ, เก้าอี้
- อุปกรณ์และซอฟต์แวร์: ค่าคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์, และที่สำคัญคือ “ค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์” (Software Licenses) ซึ่งอาจมีราคาสูงมากสำหรับโปรแกรมเฉพาะทาง
- ค่าสาธารณูปโภค: ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น
- ค่าใช้จ่ายในออฟฟิศ: อุปกรณ์สำนักงาน, กาแฟ, ขนม, งานเลี้ยงสังสรรค์
เมื่อนำต้นทุนแฝงทั้งหมดนี้มารวมกัน จากการประเมินโดยทั่วไป ต้นทุนที่แท้จริงของพนักงานหนึ่งคนอาจสูงกว่าเงินเดือนพื้นฐานถึง 1.5 – 2.0 เท่า เลยทีเดียว

เจาะลึกโมเดลค่าใช้จ่ายในการ Outsourcing
ในทางกลับกัน รูปแบบค่าใช้จ่ายของการจ้างงานภายนอกนั้นมีความตรงไปตรงมาและคาดการณ์ได้ง่ายกว่ามาก โดยทั่วไปค่าบริการจะถูกระบุไว้ชัดเจนในสัญญา ซึ่งมักจะเป็นโมเดลใดโมเดลหนึ่งต่อไปนี้:
- ค่าบริการรายเดือนคงที่ (Fixed Monthly Fee / Retainer): เหมาะสำหรับงานที่ต้องทำต่อเนื่อง เช่น การดูแลระบบ IT, การทำบัญชี, หรือการบริหารโซเชียลมีเดีย คุณจะจ่ายในจำนวนเท่ากันทุกเดือนเพื่อรับบริการตามขอบเขตที่ตกลงไว้
- จ่ายตามโปรเจกต์ (Project-Based Fee): เหมาะสำหรับงานที่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดชัดเจน เช่น การออกแบบเว็บไซต์, การสร้างแคมเปญการตลาด
- จ่ายตามอัตราชั่วโมง (Hourly Rate): เหมาะสำหรับงานที่ปรึกษาหรืองานที่ไม่สามารถคาดการณ์ปริมาณงานที่แน่นอนได้
สิ่งที่รวมอยู่ในค่าบริการ:
โดยทั่วไปแล้ว ค่าบริการที่คุณจ่ายให้บริษัท Outsourcing ได้รวมต้นทุนทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เงินเดือนทีมงาน, ค่าซอฟต์แวร์และเครื่องมือระดับมืออาชีพ, ค่าฝึกอบรม, และค่าบริหารจัดการ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแฝงเหล่านี้เลย
มาคำนวณกัน! เปรียบเทียบต้นทุนหมัดต่อหมัด
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณเปรียบเทียบระหว่างการจ้าง “นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketer) ระดับ Senior” 1 คน กับการใช้บริการเอเจนซี่การตลาด
สถานการณ์ A: จ้างพนักงานประจำ (เงินเดือน 50,000 บาท/เดือน)
รายการค่าใช้จ่าย | ประมาณการต่อเดือน (บาท) | หมายเหตุ |
เงินเดือนพื้นฐาน | 50,000 | |
ประกันสังคม (ส่วนของนายจ้าง 5%) | 750 | |
สวัสดิการ (ประกันกลุ่ม, อื่นๆ) | 2,000 | (ประมาณการ) |
โบนัส (เฉลี่ย 1 เดือน/ปี) | 4,167 | (50,000 / 12) |
ค่าอุปกรณ์และซอฟต์แวร์การตลาด | 5,000 | (ค่าเครื่องมือ SEO, Analytics, etc.) |
ค่าใช้จ่ายออฟฟิศ (ค่าเช่า, ไฟ, etc.) | 3,000 | (ประมาณการ) |
ต้นทุนรวมโดยประมาณต่อเดือน | 64,917 | (สูงกว่าเงินเดือน 30%) |
ต้นทุนที่ไม่ใช่ตัวเงิน | – | ค่าสรรหา, ค่าฝึกอบรม, เวลาที่ใช้ในการบริหารจัดการ |
สถานการณ์ B: การใช้บริการ Outsourcing Agency (ค่าบริการ 60,000 บาท/เดือน)
รายการค่าใช้จ่าย | ประมาณการต่อเดือน (บาท) | หมายเหตุ |
ค่าบริการตามสัญญา | 60,000 | |
ต้นทุนรวมโดยประมาณต่อเดือน | 60,000 | ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง |
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Value Analysis):
เมื่อมองแค่ตัวเลขสุดท้าย (64,917 vs 60,000) อาจดูไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “สิ่งที่คุณได้รับ” จากเงินจำนวนนั้น
- พนักงานประจำ (64,917 บาท): คุณได้ทักษะและความเชี่ยวชาญของ “คน 1 คน” ซึ่งอาจจะเก่งด้าน SEO แต่อาจไม่ถนัดเรื่องการยิงแอด หรืออาจจะเก่งเรื่องคอนเทนต์แต่ไม่ถนัดการวิเคราะห์ข้อมูล
- เอเจนซี่ (60,000 บาท): คุณไม่ได้จ้างคน 1 คน แต่คุณกำลังเข้าถึง “ทีม” ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจประกอบด้วย นักวางแผนกลยุทธ์, ผู้เชี่ยวชาญ SEO, ผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณา, และนักวิเคราะห์ข้อมูล นอกจากนี้ คุณยังได้ใช้เครื่องมือการตลาดระดับ Enterprise Grade ที่เอเจนซี่ลงทุนไว้แล้ว ซึ่งหากคุณต้องซื้อเองอาจมีราคาสูงกว่าค่าบริการทั้งเดือนเสียอีก
สรุปบทความ: “แพง” หรือ “คุ้ม” อยู่ที่มุมมองและเป้าหมาย
กลับมาที่คำถามแรก “จ้าง Outsourcing แพงไหม?” คำตอบที่ถูกต้องที่สุดคือ “มันขึ้นอยู่กับว่าคุณวัดมูลค่าจากอะไร” หากคุณมองแค่ตัวเลขบนใบเสนอราคา การจ้างงานภายนอกอาจดูมีราคาสูง แต่หากคุณนำต้นทุนแฝงทั้งหมดของการมีพนักงานประจำมาคำนวณ และพิจารณาถึงมูลค่าเชิงคุณภาพ ทั้งความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย, เทคโนโลยีที่ทันสมัย, และความยืดหยุ่นที่ได้รับ บ่อยครั้งที่การ Outsourcing กลับกลายเป็นการลงทุนที่ “คุ้มค่า” และมีต้นทุนรวมที่ “ถูกกว่า” ในระยะยาว การตัดสินใจที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่การเลือกทางที่ถูกที่สุด แต่คือการเลือกทางที่ให้ “มูลค่าสูงสุด” และช่วยให้องค์กรของคุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ที่ AREE เราเชื่อมั่นในการให้บริการที่โปร่งใสและมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับลูกค้า เราพร้อมที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ ช่วยคุณวิเคราะห์ความต้องการและโครงสร้างต้นทุน เพื่อออกแบบบริการ Outsourcing ที่เหมาะสมกับงบประมาณและเป้าหมายทางธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ
ติดต่อ AREE วันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรี ให้เราช่วยคุณค้นพบว่าการลงทุนในบริการระดับมืออาชีพนั้นคุ้มค่ากว่าที่คุณคิดได้อย่างไร